สรุปเนื้อหาปลายภาค
1.6 วิธีการตี Fibonacci ของ MEC Zone
ในที่นี้ จะเป็นการอธิบายวิธีการใช้ Fibonacci สำหรับระบบการเทรด MEC Zone ซึ่งแตกต่างจากการใช้ Fibonacci ปกติ
โดยจะนำ Fibonacci มาใช้ในการนับคลื่น Eliot wave 5 คลื่น
Fibonacciที่ถูกพูดถึงในที่นี้ คือเครื่องมือFibonacci retracement ที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ปัจจัยจากตัวเลขFibonacci ซึ่งตัวเลขดังกล่าว ก็จะอยู่ในเครื่องมือตัวนี้ พื้นฐานแล้วก็จะมี 0 / 23.6 / 38.2 / 50 / 61.8 / 78.6 / 100 / 138.2 / 161.8
สำหรับวิธีการตีในขาขึ้น เราจะตีจากยอดด้านบนลงล่าง 0 อยู่ล่างสุด
สำหรับวิธีการตีในขาลง เราจะตีจากยอดด้านล่างขึ้นบน โดยให้ 0 อยู่บนสุด
เมื่อตี Fibonacci ขึ้นมาแล้ว ต่อมาจะเป็นการวาด Fibonacci Box space หรือช่องว่างระหว่างแต่ละขั้น ซึ่งโดยพื้นฐาน จะเป็นช่วงเลข 61/ 50/ 38.2 ซึ่งเราจะใช้เป็นที่หาจุดเข้าโพสิชั่น ดูตัวอย่างด้านล่างนี้
วิธีใช้ Fibonacci box space ในกรณี Buy คือ เมื่อเราจะหาจุดกลับตัวของราคา เราจะตี Fibonacci จากHighล่าสุด กลับไปที่ New Low ของไทม์เฟรมนั้นๆ เมื่อราคาขึ้นมาแล้วตกกลับไปที่บริเวณ 61/ 50/ 38.2 ในโซนนี้ เราก็สามารถพิจารณาหาจุดเข้าBuyได้
วิธีใช้ Fibonacci box space ในกรณี Sell คือ เมื่อเราจะหาจุดกลับตัวของราคา เราจะตี Fibonacci จากLowล่าสุด กลับไปที่ New high ของไทม์เฟรมนั้นๆ เมื่อราคาตกแล้วกลับขึ้นมาที่บริเวณ 61/ 50/ 38.2 ในโซนนี้ เราก็สามารถพิจารณาหาจุดเข้าSell ได้
1.7 E : Eliot wave
E หรือ Elliot wave ถือเป็น 1 ใน 3 ปัจจัยหลักของระบบการเทรด MEC Zone ซึ่งเป็นการวาดแพทเทิร์นการวิ่งของเทรนด์ราคาในลักษณะคลื่นคล้ายรูป /\/\/ (ขาขึ้น) หรือ \/\/\ (ขาลง) หรือพูดง่ายๆก็คือเทรนด์เล็ก 5 เทรนด์ต่อรวมกันเป็นเทรนด์ใหญ่ 1 เทรนด์นั่นเอง
โดยบทเรียนนี้จะเน้นที่วิธีการ Counting Eliot wave หรือ การนับคลื่นของEliot wave
ข้อแตกต่างระหว่าง Eliot wave กับ indicatorส่วนใหญ่ คือ indicator ส่วนใหญ่จะแสดงสถิติในอดีต แต่Elliot waveจะเป็นสมมุติรูปแบบการเคลื่อนที่ของราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในส่วนของE จะแบ่งโดยเรียกแต่ละจุดการกลับตัวของราคาว่า 0 – 1 – 2 – 3 – 4 – 5 (ดูตัวอย่างด้านล่าง)
ซึ่งคลื่น 0 – 1, 2 – 3 , 4 – 5 จะถูกเรียกว่าคลื่นAction
และคลื่น 1 – 2 , 3 – 4 จะถูกเรียกว่าคลื่นReaction ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะได้ 3 แบบ ได้แก่
- ถ้านับได้ 5 คลื่น จะนับเป็น 0-1-2-3-4-5
- ถ้านับได้ 3 คลื่น จะนับเป็น A-B-C
- เป็น Side way (นับเป็นคลื่นไม่ได้)
วิธีพิจารณาว่าคลื่น 0 – 1 เกิดขึ้นแล้วหรือยัง เมื่อNew high หรือ New low ล่าสุดทำการกลับตัวลงมา ให้ดูว่าราคาที่กลับลงมานั้นลงมาหลุดNeck lineของแพทเทิร์น (เช่น Head & Shoulder, Double top เป็นต้น) หรือไม่ ถ้าเกิดหลุดได้ ก็จะสามารถนับการวิ่งกลับตัวลงมาตรงนั้นเป็นคลื่น 0 – 1 ได้
ตามทฤษฎีแล้ว คลื่น2 – 3 มักจะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดอย่างแน่นอน (ตามกฎของ JSP FOREX คลื่น2-3ต้องมากกว่าบริเวณ 161.8 ของ fibo จาก 0-1 มิเช่นนั้นไม่ถือว่าเป็นคลื่น2-3 )
การจะเช็คว่าคลื่น e. ในปัจจุบัน เป็น 2-3 หรือไม่ ลองตี Fibonacci จาก 0-1 ว่า ถึง 161.8 แล้วหรือยัง
และ การเช็คว่าคลื่น e. ในปัจจุบัน เป็น 4-5 หรือไม่ ลองตี Fibo 2-3 ว่าถึง 138.1 หรือยัง
ซึ่งระบบMEC Zone จะเล็งจุดซื้อขายที่คลื่น 2 – 3 และ 4 – 5 เพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด
ข้อควรจำครับ
กรณีเป็นขาขึ้น คลื่น 4 – 5 จะไม่มีทางอยู่ต่ำกว่า คลื่น 2 – 3 แน่นอน หรือ กรณีเป็นขาลง คลื่น 4 – 5 จะไม่มีทางอยู่ต่ำกว่า คลื่น 2 – 3 แน่นอน ถ้าเกิดกรณีที่ว่าไป อาจเป็นเพราะนับคลื่นผิด หรือ นี่ยังไม่ใช่การเกิดเทรน
จุดเข้าซื้อขายบนElliot wave นั่นก็คือ
- หลังจากที่เป็น side way และเกิดการ Break out side way, ให้ตี Elliot wave และตี fibonacci โดยกำหนดให้คลื่น 2-3 อยู่ที่ 161.8 และ คลื่น 4 – 5 อยู่ที่ 200
- เมื่อยืนยันได้ว่าเกิดคลื่น 0 – 1 รอจังหวะราคากลับมาพักตัวอยู่ในโซนของ fibonacci box space ( จังหวะคลื่น 1 – 2 ) แล้วเข้าออเดอร์ก่อนที่ราคาจะถึงเส้น 61.8
***การถือออเดอร์ ไม่จำเป็นต้องถือจนจบคลื่นที่3 หรือ คลื่น5 สำหรับมือใหม่ ควรจะไว้จุดออกในราคาใกล้ๆก่อน เพื่อให้มีโอกาสติดTake profitสูง
เหตุผลที่ระบบMec zone มีElliot waveไว้ ก็เพื่อเข้าจุดซื้อขายที่ชัวร์ที่สุด
1.8 C : Channel line
C หรือ Channel line เป็น 1 ใน 3 ปัจจัยหลักของระบบการเทรด MEC Zone ซึ่งทำหน้าที่แบบเดียวกับtrend line คือบอกทิศทางการวิ่งของราคาตลาด ตัวอย่างอยู่ด้านล่างนี้
ประโยชน์ของ C. line ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1.สามารถอ่านเทรนได้ภายในชั่วพริบตา
ช่วยให้เราสามารถที่ทิ้งความลังเลในการซื้อขายจากการเข้า buy หรือ Sell ได้อย่างสิ้นเชิง ตามคำแนะนำของJSPที่คอยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าพยายามเทรดตามเทรนด์
ด้านล่างนี้เป็นภาพตัวอย่างการตีเทรนไลน์ทั้งขาขึ้นและขาลง
Up trend
Down trend
2.สามารถรู้ทันทีว่าตอนนี้เรตราคาอยู่ในโซนราคาสูงหรือราคาตํ่า
เส้นแบ่งตรงกลางของChannel line สามารถใช้เป็นจุดแบ่งโซนราคาสูงราคาต่ำได้ โดยฝั่งบนจะเป็นโซนราคาสูง และฝั่งล่างเป็นโซนราคาต่ำ ดูตัวอย่างตามภาพ
ทุกคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ให้ซื้อในตอนที่ราคาถูก และให้ขายตอนราคาแพง นั่นเป็นคำพูดที่บ่งบอกถึงหัวใจหลักของการเทรดได้ดี ซึ่ง C หรือ Channel line จะทำให้คุณรู้ได้ว่า โซนไหนคือโซนราคาถูกที่คุณควรจะ Buy และโซนไหนคือโซนราคาแพงที่คุณควรจะ Sell
ถ้า Chanel line เป็นขาขึ้น พยายามรอให้ราคาอยู่ในโซนราคาถูก แล้วหาจุดเข้า Buy และพยายามไม่เข้า Sell
ถ้า Chanel line เป็นขาลง พยายามรอให้ราคาอยู่ในโซนราคาแพง แล้วหาจุดเข้า Sell และพยายามไม่เข้า Buy
ต่อไปคือวิธีการตี Channel line
- ถ้าเป็นขาขึ้น หาจุดLow 2 จุด และ จุดHigh 1 จุด เพื่อกำหนดระยะของกรอบC.line และ ถ้าเป็นขาลงก็ตรงกันข้าม หาจุดHigh 2 จุด และ จุดLow 1 จุด
- องศาที่ดีที่ดี ของ Channel line จะอยู่ที่ 45 องศา ถ้าทำแบบที่1แล้ว C ชันไป เราก็จะตีจุดที่ 2 กับ 3 แทน เพื่อให้มันเกิดองศาที่ดีกว่า
3.ถ้าตีแล้วยังดูไม่เกิดเป็น Trend หรือ ไม่ Make sense เราจะตีโดยให้อยู่ใกล้กับ EMA 200 มากที่สุด
1.9 4 ปัจจัยสําคัญที่จะเพิ่มเงินในพอร์ต
หลายๆคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเทรด ว่าการเทรดเป็นเกมที่ต้องชนะให้ได้เยอะที่สุด tp บ่อย เพิ่มเปอเซ็นชนะในระบบให้ได้เยอะๆ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ “การเทรดไม่จำเป็นต้องชนะเสมอไป มีชนะบ้างแพ้บ้าง แต่โดยรวมแล้วได้กำไรก็พอแล้ว”
mindsetนี้สําคัญมาก ไม่อย่างนั้นจะยึดติดกับชัยชนะมากเกินไป และทําให้cutlossไม่เป็น เพราะลืมเป้าหมายที่แท้จริงที่ว่าเราต้องเพิ่มเงินในพอร์ตนั่นเอง
4 ปัจจัยหลักที่จะทําให้คุณเพิ่มเงินในพอร์ต มีดังต่อไปนี้
- Lot size
- เปอร์เซ็นต์ชนะ
- ค่า r หรือ risk/reward
- จํานวนการเทรด
ระบบการเทรดที่ทําเงินได้นั้นมาจากความสมดุลของ 4 องค์ประกอบนี้ คนที่เป็นมือใหม่นั้นจะสนใจแค่เปอร์เซ็นชนะ ทําให้วางtpแคบ จนทําให้ระยะยาวเงินในพอร์ตค่อยๆลดลง เพราะฉะนั้น แต่ละคนต้องหาสัดส่วนความสมดุลของระบบที่เข้ากับตัวเองให้ได้ ตัวอย่างเช่น ระบบที่มีเปอร์เซ็นชนะน้อย แต่มีค่าRสูง ก็ทำให้ได้กำไรมากกว่าขาดทุน ส่งผลให้พอร์ตเป็นบวกในระยะยาว เป็นต้น
1.10 การใช้M E C แบบผสมผสาน
ในบทนี้จะพูดถึงการใช้ Moving average, Elliot wave, Channel lineแบบผสมผสานกัน โดยแต่ละตัวจะถูกนำมาใช้ดังนี้
ส่วนที่เป็น M คือ ใช้เส้นMAที่ราคาชนบ่อย
ส่วนที่เป็น E คือ หาคลื่นElliot wave 2-3 / 4-5
ส่วนที่เป็น C คือ ดูทิศทางของเทรน และ ดูโซนราคาถูกราคาแพง
กรณีที่เทรนวิ่งมาสักพักแล้ว stepการเทรดจะเริ่มจากตี C ตี E แล้วค่อยหา M
กรณีเทรนเพิ่งเกิดหรือยังไม่เป็นเทรนที่ชัดเจน stepการเทรดจะเริ่มจากตี E หา M แล้วค่อยตี C
ขั้นตอนการใช้ MEC ทั้ง 3 ตัวแบบผสมผสาน มีดังต่อไปนี้
- เริ่มจากตี Channel line (ถ้ายังตีไม่ได้ เนื่องจากเทรนยังไม่เกิด หรือ ราคาเพิ่ง Break Out หรือเป็น Sideway ขอให้เปลี่ยนขั้นตอนเป็นE M C)
- วาด Elliot Wave
***เมื่อราคาทำการ Break Out side way หรือ break out pattern (Head and shoulder double bottom ) ก็สามารถ นับ 0-1 ได้
ดูเส้นทฤษฎีดาว (เส้นแนวรับแนวต้าน) กรณีที่ราคาทำ New High ก็จะทำการลากเส้นทฤษฎีดาวขึ้น (หรือตีเส้นแนวรับแนวต้าน) ที่จุดพักตัวที่ทำ New High
ตัวอย่างด้านล่างเป็นกรณีขาลง สมมุติว่าราคาทำNew Low (เลข 3) ก็ให้ทำการลากเส้นทฤษฎ๊ดาวที่อยู่ที่เลข 0 ลงมาที่จุดพักตัวที่ทำNew Low หรือก็คือเลข 2
- ต่อจากการวาดElliot wave, ตี Fibonacci retracement เพื่อปรับยอดของคลื่น 2-3 ให้อยู่ที่ 8 และปรับยอดของคลื่น 4-5 ที่ 200
ข้อดีของการวาด E ได้ 5 คลื่น คือ เราสามารถวางแผนการเข้าซื้อขายล่วงหน้าได้นั่นเอง
- มองหาเส้น MA ที่ราคาชนบ่อยที่สุด แล้วรอให้ราคาชนกับ MA ดังกล่าว
- เมื่อเรตราคามาชนเส้นMAที่เราเล็งไว้ก่อนหน้า ก็เข้าออเดอร์ได้เลย และ ทุกครั้งที่ราคากลับมาชน MA เส้นเดิม ในบริเวณคลื่น 2-3 ก็ยังเข้าออเดอร์ได้เรื่อยๆ
- การวางStop loss ในกรณีขาขึ้น ให้วางใต้เส้นทฤษฎีดาว ในกรณีขาลง ให้วางเหนือเส้นทฤษฎีดาว
***กรณีที่เส้นทฤษฎีดาวยังไม่เกิด ให้วางไว้ที่ตำแหน่งเลข 0 ของคลื่น 0-1ได้เลย
7 วัดค่า R ด้วยเครื่องมือ Long Position / shot Position โดยค่าR ต้องได้มากกว่า 0.65 ขึ้นไป
***ในกรณีที่เป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์แล้ว แนะนำเป็น ค่า R 0.8 ขึ้นไป
- เมื่อราคาทำ New high หรือ New low ให้ขยับเส้นทฤษฎีดาวตามมาที่จุดพักตัว
- เมื่อเรตราคามาชนเส้น 161.8 ของFibonacci retracementแล้วตกกลับมา ก็จะให้ปรับFibonacci retracement โดยให้ปลายอยู่ที่เลข 3 ของElliot wave แล้วปรับให้ยอดคลื่น 4-5 (เลข 5) อยู่ที่ตำแหน่ง 138 เพื่อกำหนดจุดคลื่น 4-5
***กรณีที่ ราคา ทะลุเลย 161.8 ไป ให้เราทำการปรับคลื่น 2-3 ที่วาดเอาไว้ Fibonacci retracementโดยให้ปลายอยู่ที่เลข 2 ยอดอยู่ที่เลข 3 แล้วปรับให้เลข 5 อยู่ที่ตำแหน่ง 138
- เมื่อเข้าสู่ช่วงคลื่น 4-5 ก็เข้าเทรดโดยใช้วิธีการเข้าเทรดแบบเดียวกับคลื่น 2-3 ได้เลย
11 พอครบ5คลื่น ก็ไปหาคู่เงินอื่นที่สามารถนับคลื่น 0-1 ได้ เพราะหลังจบคลื่น 4-5 ไป ราคามักจะทำการ reset เป็น sideway