สรุปเนื้อหาปลายภาค
2.6 E : Elliot wave (เดือน 2)
ในบทนี้จะพูดถึงเนื้อหาการใช้Fibonacciและการปรับ Elliot wave เพื่อให้สามารถวาดคลื่น 5 คลื่นได้ในทุกสถานการณ์
จากบทที่แล้วที่พูดไว้ว่าคลื่น 2-3 จบที่ 161.8 ของFibonacci retracement และ คลื่น 4-5 จบที่ 138.2 ของ Fibonacci retracement แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป บางครั้งอาจวิ่งไปไกลกว่า161.8 และ 138.2
อ้างอิงจากผลการ back test ด้วยระยะเวลามากกว่า10ปี พบว่าค่าเฉลี่ยของคลื่น 2-3 จากทั้งหมด 13 ครั้ง มี 7 ครั้งที่จบที่ 161.8
โดยมี 3 ครั้งที่จบที่ 200 มี 2 ครั้งที่จบที่ 261 มี 1ครั้งที่จบที่ 300 และอีก 1 ครั้งที่จบที่ 361
ในส่วนของคลื่น 4-5 มีโอกาสที่ไปไกลกว่า 138.2 แต่แนะนำว่าอย่าตั้ง Take profit คลื่น 4-5 เกินกว่าตัวเลข 138.2 เพราะมีโอกาสที่เทรนจะสิ้นสุด และกลายเป็น Sideway สูง
ด้วยเหตุผลที่กล่าวไป เราจึงต้องทำการ ปรับเส้นElliott wave ให้เข้ากับกราฟปัจจุบันเสมอ เพื่อจะได้รับมือกับตลาดได้ทันนั่นเอง
ซึ่งวิธีปรับเส้นElliot wave หรือ Scenario ของ Eliot wave เพื่อให้เข้ากับสภาพตลาด จะขออธิบายด้วยตัวอย่าง ดังนี้
หลายครั้งที่เวลาตีเส้นFibonacci แล้วจะไม่ได้ตรงตามระบบเป๊ะ พอตีFibonacci ตรงปลายไส้เทียน ก็จะไม่ถึง หรือ เลยไป ถ้าเลย ก็ตีที่ตัวแท่งเทียนแทน จะพอดีกันมากขึ้น ทำให้ตัดความลังเลได้ว่าเรานับถูกหรือไม่ ในกรณีที่เป็นขาลง ก็ทำลักษณะเดียวกัน ขยับจากไส้เทียนเป็นแท่งเทียน
ในตัวอย่างนี้ เราต้องการเข้า buy ที่กำลังจะเกิดคลื่น 2-3
ตอนแรก เราจะเข้าด้วยคลื่น 2-3 เส้นสีม่วง แต่ถ้าเกิดกรณีที่เลข 2 เส้นสีม่วงต่ำกว่า คลื่นreactionที่จุด C นั่นแสดงว่า คุณอาจจะนับคลื่นElliot wave ผิด ต้องทำการปรับแก้เป็นเส้นสีส้มแทน
สรุปคือในกราฟจริง เป็นเรื่องยากที่จะวาดElliot waveและFibonacciให้ออกมาสวยตามทฤษฎีได้ ซึ่งเรื่องนี้ Indicatorและเครื่องมืออื่นๆก็เป็นเช่นกัน ซึ่งเรื่องการวาดElliot waveและFibonacci retracmentให้เก่ง เป็นเรื่องของประสบการณ์และการฝึกฝน
2.7 C : Channel line (เดือน 2)
ในเดือนที่ 2 นี้ จะมีเนื้อหาเพิ่มเติมในส่วนของ C คือ
- การใช้ C เพื่อดู Volatility
- วางแผนค่า risk : Reward และเพิ่มคู่เงินทางเลือกในการเทรด
- การใช้ C เพื่อดูว่าควรจะวาง TP ที่จุดไหน
ซึ่งในบทนี้จะเพิ่ม 1 ปัจจัยที่ควรนำมาใช้พิจารณากับ C ด้วย นั่นก็คือแนวรับแนวต้านสำคัญในไทม์เฟรม 4H / D / W ที่ซ้อนกันกับขอบของ C
1.การใช้ C เพื่อดู Volatility (ความผันผวนของตลาด)
วิธีการวัดคือ วัดจากขอบบนและขอบล่างของ Chanel line ในไทม์เฟรมที่เทรด
- ช่วยวางแผนค่า risk : Reward และเพิ่มคู่เงินทางเลือกในการเทรด
เมื่อใช้ C แล้วเห็นว่ามี Volatility ที่เยอะพอ เราก็สามารถคำนวณค่า R ได้ว่าคุ้มไหมที่จะเทรด หรือควรไปหาคู่เงินอื่นที่ค่า R ดีกว่า
เพราะเวลาเข้าคู่เงินที่มี Volatility เยอะ เวลาที่เทรนวิ่ง ก็จะวิ่งได้ไกล ทำให้ได้กำไรมากกว่าคู่เงินที่ Volatility น้อยกว่า
ตัวอย่างด้านล่างนี้เป็นคู่เงินที่พอวัดด้วย C แล้วก็พบว่ามี Volatility เยอะ ซึ่งถ้าเข้าด้วยlot 0.1 ก็จะได้ 169$
3.ทำให้รู้ว่าควรตั้ง TP ที่ตรงไหน
เนื่องจาก มือใหม่บางคนเห็นว่าเป็นเทรนอยู่ ก็อยากจะถือยาว แต่กราฟราคาของ Forex ตามธรรมชาติของมัน จะมีการลงมาพักตัว หรือไม่ก็เป็น Sideway หรืออาจกลับเทรน
ดังนั้นการถือยาวจนเกินไป จากที่เราควรจะได้กำไร ก็อาจจะเสียกำไร ที่แย่ไปกว่านั้นคือ อาจโดนCut loss ไปเลยก็ได้
วิธีการใช้ C ในการตั้ง Take profit คือ ตั้งไว้ที่ขอบบนหรือล่างของกรอบ C
ต่อไปจะสาธิตวิธีการใช้ แนวรับแนวต้าน + ขอบของ C
เมื่อตี C ขึ้นมาแบบนี้ หาจุดที่เคยเป็นแนวต้านมาก่อน เมื่อราคา Break out แล้วกลับลงมากลายเป็นแนวรับ บวกกับชนขอบล่างของ C จุดนั้นเองที่สามารถใช้เป็นจุดเข้า Buy ได้
2.8 Mindset ที่สำคัญสำหรับมือใหม่ที่ห้ามทําเกี่ยวกับการเทรด forex
มือใหม่ห้ามเสียเงินในพอร์ตเกิน30ในการเทรดเพียงครั้งเดียว
โดยเฉพาะพอร์ตที่มีเงินเกิน 2000 หรือ 60000 เหรียญเป็นต้นไป เพราะว่าเวลาเสียหนักๆ ใจจะไม่นิ่ง แล้วทําให้เราอยากเข้าซื้อขายในจุดที่ไม่ได้เปรียบ ส่วนใหญ่แทนที่จะได้เงินคืนจะเสียเงินมากกว่า เพราะฉะนั้นตอนที่เป็นมือใหม่ ควรเทรดlotน้อยๆไปก่อน
ต่อมาคือเรื่องเราควรจะโฟกัสอะไรเกี่ยวกับการเทรดในช่วงแรก
1.โฟกัสเก็บความรู้และประสบการณ์ไปก่อน เทรดlotน้อยไปจนกว่าเจอแนวทาการเทรดของตัวเอง
2.ทุกการเทรดควรจะมีการบริหารหน้าตัก (Money management) ให้เป็นนิสัยนะครับ ควรรู้เสมอว่าแต่ละออเดอร์ที่เข้ามีความเสี่ยงเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินในพอร์ต
3.ตั้ง Cut loss เสมอ
4.ในเวลาที่เสียหนัก แนะนำว่าควรหยุดเทรดแล้วไปพักจนกว่าจะรู้สึกโอเค แล้วค่อยกลับมาเทรด เพราะจิตใจที่นิ่งและอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราเทรดได้ตามระบบ
2.10 MEC zone System (เดือน2)
ในเดือนที่2 สัปดาห์ที่ 4 นี้ เรื่องการใช้ M E C แบบผสมผสาน จะนำเทคนิคเพิ่มเติมของแต่ละส่วนมาใช้ ดังนี้
ส่วนที่เป็น M คือนำ Role reversal กับ Price action มาใช้
ส่วนที่เป็น E คือเรื่องการ ปรับ Scenario หรือ วาดหลายๆ scenario ของ Elliot wave
ส่วนที่เป็น C คือ การดู Volatility และค่า R เพื่อหาความคุ้มค่าของคู่เงินนั้นๆ
ต่อมามาดู Step ในการใช้ MEC Zone system ลำดับก็จะเหมือนกับที่สอนไปในเดือนแรก
***กรณีที่ 1 เทรนวิ่งมาสักพักแล้ว ก็จะเป็น C E M
***กรณีที่ 2 เทรนยังไม่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน หรือ เล็งจังหวะกลับตัวของเทรน ก็จะเป็น E M C
Step 1 ตี Channel line
ในเดือนนี้ เราสามารถวัด Volatility และสามารถเลือกเทรดในคู่เงินที่คุ้มค่าที่สุดได้
Step 2 วาด Elliot wave 5 คลื่นขึ้นมา
ในเดือนนี้ เราสามารถปรับเส้นElliot waveให้เข้ากับสภาวะตลาดในปัจจุบันได้ ทำให้ความน่าเชื่อถือของ Scenario ของ Elliot wave เพิ่มขึ้น
Step 3 พอวาด Elliot wave คร่าวๆเสร็จ ก็ตี Fibonacci retracement
ยอดของคลื่น 2-3 ในบางครั้งอาจวิ่งไปได้ถึงเส้น 200 ของ Fibonacci retracement
Step 4 การมองหาเส้นMA ซึ่งเดือนนี้จะให้มองหาเส้น MA ที่ทำหน้าที่เป็น Role reversal
วิธีการตามหาเส้น MA ที่จะเกิด Role reversal นั้นหาได้โดยดูที่ปัจจัยดังนี้ 1. หาเส้น MA ที่ราคาชนบ่อย 2. ใช้เส้น MA ที่เป็นจุดพักตัวที่สร้าง New high หรือ New low
Step 5 เมื่อเรตราคามาชนบริเวณ Role reversal ที่เราเล็งไว้ก่อนหน้านี้ก็เตรียมกดเข้าออเดอร์
หลังจากนี้ทุกอย่างเหมือนกับเดือนแรก
Step 6 จุดCut lossวางไว้ใต้เส้นทฤษฎี dow ได้เลย
Step 7 วัดค่า R ด้วยเครื่องมือ Long Position / shot Position โดยค่า R ต้องมากกว่า 0.65 ขึ้นไป
การวาง Take profit ในกรณีที่เป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์แล้ว แนะนำเป็น ค่า R 0.8 ขึ้นไป
สาเหตุที่กำหนด ค่า R 0.6 ให้มือใหม่ ก็เพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้กับตลาด
กรณีที่ค่า R ไม่ดีเพราะเส้นทฤษฎี Dow อยู่ไกล ก็ลองตั้ง Cut loss ให้อยู่ที่ระหว่างจุด 0 และ 2 ของElliot wave ถ้ายังไม่ได้อีก ก็คือไม่ควรเข้า
Step 8 เมื่อราคาทำ New high หรือ New low ให้ขยับเส้นทฤษฎี Dow ตาม
Step 9 เมื่อราคามาถึง 161.8 แล้วตกกลับมา ก็ทำการปรับ Fibonacci retracement โดยให้ปลายอยู่ที่เลข 2 และยอดอยู่ที่เลข 3 ของElliot wave แล้วปรับให้เลข 5 อยู่ที่ตำแหน่ง 138
กรณีที่ราคาทะลุเลย 161.8 ไป ให้เราทำการปรับคลื่น 2-3 ที่วาดเอาไว้ แล้ววาด Fibonacci retracement โดยให้ปลายอยู่ที่ คลื่น 2 และยอดอยู่ที่เลข 3 ของElliot wave แล้วปรับให้เลข 5 อยู่ที่ตำแหน่ง 138
Step 10 เทรดคลื่น 4-5 โดยใช้วิธีการแบบเดียวกับตอนเทรดคลื่น 2-3 ได้เลย
Step 11 พอหมด 5 คลื่น หาคู่เงินอื่นเทรด จนกว่าคู่เงินเดิมจะนับคลื่น 0-1 ได้
พอเรา ใช้ MEC ที่อัพเกรดขึ้นมา จะทำให้สามารถเลือกคู่เงินที่ดีที่สุดได้ สามารถปรับแผนการเทรดในกรณีที่สภาพตลาดไม่เป็นไปตามที่เราวางScenarioไว้ตอนแรกได้ และยังเข้าในจุดกลับตัวได้ดีกว่าเดือนแรก