สรุปเนื้อหากลางภาค
สรุปเดือน3 ครึ่งแรก
3.1 ฝึกฝนการเทรดเพื่อเป็นโปรเทรดเดอร์
Forexนั้น ถ้าเทียบกับสินค้าการเทรดอื่นๆ เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้นแล้ว เริ่มง่ายกว่า เพราะมีเงินแค่หลักพันก็เริ่มเทรดได้แล้ว และผลการเทรดที่มีแค่ราคาขึ้นและราคาลง ก็ทำให้มีโอกาสสูงที่เราจะได้กำไรแบบฟลุ๊ค แต่ความยากของforexจริงๆแล้วอยู่ที่การทํากําไรในระยะยาว คนส่วนใหญ่เข้ามาเทรดด้วยความหวังว่าถ้าฉันได้ระบบนี้มา ฉันฝึกการเทรดสักเดือนนึงเดือนหน้าฉันคงได้เงินเยอะๆ และพอเจอตลาดจริงไม่เป็นแบบนั้นก็เลยเลิก
หลักสูตรของJSP จะเน้นการทำให้ผู้เรียนสามารถเอาตัวรอดในตลาดช่วงแรก เพื่อให้มีเวลามากพอสำหรับทำการเรียนรู้เกี่ยวกับตลาด ใช้เวลาทําความเข้าใจและฝึกฝน
3 ปัจจัยที่ทําให้ประสบความสําเร็จในการทําเงิน
- ระบบการเทรด เราจําเป็นต้องมีหลักเกณฑ์ในการซื้อขายที่เข้ากับตัวเองและชัดเจน เพื่อไม่ให้เข้าในจุดที่มั่วและไม่ได้เปรียบ
- การบริหารหน้าตักและMindset การบริหารจัดการเงินในพอร์ตจะทำให้เวลาที่เสียเงิน จะเสียเงินน้อยลงกว่าเงินกำไรที่ได้ ส่วนMindsetเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราสามารถเทรดได้กำไรตามระบบในระยะยาว
- 3. ความเชื่อมั่นที่มีต่อระบบการเทรด เพราะว่ายิ่งมีความเชื่อมั่นมากเท่าไหร่ ก็ทําให้เรากล้าเข้าด้วยlotที่เยอะขึ้นได้ และสามารถอดทนรอจนถึงราคาปึงจุดTake profitได้
วิธีที่เพิ่มความเชื่อมั่นในระบบการเทรดของตัวเอง
- ทําความเข้าใจระบบที่ตัวเองใช้อย่างลึกซึ้งและเก็บประสบการด้วยระบบการเทรดนั้นบ่อยๆ
- 2. ฝึกใช้ระบบตัวเองด้วยforextesterหรือทำการBacktestนั่นเอง เพราะสามารถจําลองเข้าซื้อขายเหมือนจริงได้ ทําให้ทดสอบระบบได้และเก็บประสบการได้เยอะในเวลาอันสั้น
3.2 แพทเทิร์นHead & Shoulder และ Inverse Head & Shoulderที่ดีที่สุด
แพทเทิร์นHead & ShoulderและInvert Head & Shoulder มีประโยชน์หลักๆอยู่ 2 ข้อ
- เป็นแพทเทิร์นที่บ่งบอกว่ามีโอกาสที่เทรนจะกลับตัว
- เป็นแพทเทิร์นบ่งบอกสัญญาณกลับตัวที่มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าแพทเทิร์นอื่นๆ
ในกรณีที่ใช้ระบบการเทรดmec zone เวลาราคาหลุดจาก Channel line ส่วนใหญ่มักจะเกิด Head & Shoulder หรือ Invert Head & Shoulder จึงเป็นแพทเทิร์นที่ควรรู้จักและใช้ให้เป็น
เวลาที่ราคาBreak outจากใช้Channel lineแล้ว ทิศทางที่ราคาจะวิ่งจะมีอยู่ 3 แบบ
1.ทำSide way
2.เทรนยังไม่กลับตัวและวิ่งต่อ แต่เป็นองศาของเทรนจะชันน้อยลง
3.ก่อตัวเป็นHead & Shoulder
มือใหม่ส่วนใหญ่ชอบเข้าใจผิดว่า Channel line และ Trend line เวลาBreak outแล้วจะเปลี่ยนเทรนทันที แต่จริงๆแล้วไม่ใช่
วิธีการหาHead & Shoulder หรือ Invert Head & Shoulderที่มีประสิทธ์ภาพมากที่สุด
Head & Shoulder หรือ Invert Head & Shoulderที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ ตัวที่ทะลุวิ่งทะลุจุดพักตัวของNew low หรือ New High
อ้างอิงจากทฤษฏีdow ถ้าหาก Head & Shoulder หรือ Invert Head & Shoulder ที่เกิดขึ้นยังไม่ทะลุจุดพักตัวของNew low หรือ New High ก็ถือว่ายังมีโอกาสสูงที่พอราคาวิ่งไปชนจุดตัว (แนวรับแนวต้าน) และวิ่งกลับไปตามเทรนต่อได้
และอีกข้อดีในการรอให้ทะลุจุดพักตัวคือ จากข้างบนที่บอกว่าเวลาหลุด Channel line กราฟจะวิ่งได้ 3 แบบ ซึ่งถ้ารอทะลุจุดพักตัวนั้น จะกลายเป็นแบบข้อ3
และเวลาเกิด Head & Shoulder ราคาจะวิ่งแรงมากและคาดหวัง pipได้เยอะนะ ที่เป็นแบบนี้เพราะว่า
- 1. Head & Shoulderเป็นpatternที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย จนเวลาที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดแพทเทิร์นนี้ ทุกคนจะเข้าออเดอร์ในละแวกเดียวกัน จนเกิดเป็นแรงซื้อขายในทิศทางเดียวกันจำนวนมาก
- เมื่อราคาดันไปโดนstop lossของออเดอร์ที่สวนทาง Stop lossจะเป็นตัวเสริมแรง ทำให้ราคาวิ่งแรงขึ้นเพราะไม่มีแรงสวนทาง
- คนที่รู้ตัวทีหลัง มาเข้าออเดอร์เพื่อตามเทรน
ข้อควรระวังในการใช้ Head & Shoulder และ Invert Head & Shoulder
- ต่อให้แพทเทิร์นเกิดขึ้นก็ไม่ใช่ว่าเทรนจะกลับตัว 100%
- บางครั้ง Neck line ไม่เป็นแนวระนาบ
3 บางครั้ง ใหล่ทั้งสองข้างจะไม่เท่ากัน
3.4 M+E
การใช้ MEC ทั้ง 3 ปัจจัยเริ่มกันนั้นให้ผลดีมาก แต่สถานการณ์ที่มีครบทั้ง 3 ปัจจัยไม่ได้มีเสมอไป ซึ่งความแตกต่างระหว่างมือใหม่กับมืออาชีพคือการแก้สถานการณ์
เรามาพูดถึงการเตรียมพร้อมก่อนที่จะเจอสภาพตลาดหรือที่เรียกกันว่าSetup จะมี Case study สอนเรื่อง Setup ว่าสถานการณ์แบบไหนที่เทรดได้ หรือเทรดไม่ได้ หรือควรรอให้มีปัจจัยออกมาก่อน
เพราะสภาพตลาดไม่ได้เป็นใจให้แก่เทคนิคอลในระบบการเทรดเสมอไป หัวใจสำคัญที่เราควรจะต้องรู้ก็คือเวลาไหนที่ระบบการเทรดใช้ได้ หรือ ใช้ไม่ได้
บทนี้จะพูดถึงวิธีการใช้เพียง M+E เพื่อแก้สถานการณ์ในกรณีที่เราไม่สามารถตี C (Channel line) แต่ M (Moving average) และ E (Elliot wave) ยังใช้การได้อยู่
ส่วนที่เป็น M : ใช้Role reversalเพื่อหาจุดกลับตัว
ส่วนที่เป็น E : เข้าเทรดในคลื่น2-3 เพื่อให้ได้pipที่มากที่สุด
อย่าลืมเรื่องการบริหารความเสี่ยง (Money management) เพราะการใช้แค่ 2 ปัจจัยมีความเสี่ยงมากกว่าการใช้แบบ 3 ปัจจัย
การใช้งานก็คือ ให้หาจุดเข้าบริเวณคลื่น 2-3 ที่มี Role reversalของM จุดนั้นจะเป็นจุดกลับตัวและยืนยันว่าบริเวณที่เราเข้า กำลังจะเกิดเป็นคลื่น 2-3 ที่แท้จริงได้
จากภาพ จุดที่เราเข้าตามระบบ MEC Zone แบบ M+E คือจุดที่วงกลมไว้ เพราะว่าสอดคล้องกับ Role reversal ที่ชนก่อนหน้านั้น จุดCut lossจะวางที่จุดเลข 2 ของ E และวางจุดTake profitที่ 161.8 ของ Fibonacci retracement
สาเหตุที่ไม่เข้าที่จุดเลข 2 ของ E ก็เพื่อให้ได้จุดเข้าที่ชัวร์ที่สุด และเป็นการยืนยันอีกชั้นหนึ่งว่าคลื่น 2-3 ได้เกิดขึ้นแล้ว
อาจมองหาแนวรับแนวต้าน และ price action เพื่อความชัวร์อีกทีก็ได้
และการรอให้เกิดสัญญาณหลายตัวที่ทับซ้อนกันชัดเจน ก็มีข้อดี คือ ถ้าคลื่นที่เราคิดว่าเป็น 2-3 นั้น เกิดไม่ใช่คลื่น 2-3 ก็จะทำให้ถูกCut lossไป การรอให้เกิด Role reversal อีกชั้น จึงเป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยรักษาเงินทุน และทำให้เข้าในจุดซื้อขายที่ดีกว่าได้นั่นเอง
3.5 M+C
ในบางครั้ง ก็จะมีช่วงที่คู่เงินส่วนใหญ่วิ่งเป็น Side way ไม่มีคู่ไหนที่เทรดด้วยระบบ MEC Zoneได้เลย ในกรณีนี้ เราสามารถใช้การเทรดแบบM+C ซึ่งเป็นวิธีเทรดสำหรับคู่เงินที่ไม่สามารถวาดคลื่น Eliot wave
เส้น C ไม่จำเป็นต้องตีเส้นเดียวในกราฟ
สมมติว่าตอนนี้ราคากราฟเป็นขาลง เราตี C ขาลง แล้วราคาเกิดการ Break Out ขึ้นไป เราสามารถตีเส้น C ขาขึ้นเพิ่มขึ้นมาอีกเส้นได้โดยไม่ต้องลบเส้นเก่า เนื่องจากบริเวณที่ Break out นั้น เมื่อราคาลงมาพักตัว เส้น C เก่ามีโอกาสที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับและเป็นจุดกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นได้ (ดูภาพประกอบด้านล่างนี้)
วิธีการใช้ M+C
จากกราฟไทม์เฟรม 1H ในกรณีที่กราฟเป็นขาลง ตี C ขาลง แล้วราคา Break out ขึ้นไปทะลุเส้น C ทำให้เราสันนิษฐานได้ว่ามันอาจเป็นจุดกลับตัวของเทรนในไทม์เฟรมนั้นๆ
คำถามคือกลับตัวจริงหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องนำส่วน Role reversal ของ M มาใช้ด้วยกัน รอให้ราคาลงมาชนขอบ Cขาลง (ในวงกลมภาพข้างต้น) ซึ่งจุดนั้นมีเส้น MA ที่ทำหน้าที่เป็นRole reversal และมีขอบของ C ขาลงอยู่ (ในจุดนี้ บางครั้งอาจจะยังไม่สามารถวาด C ขาขึ้นได้ แนะนำให้รอแท่งเทียนปิดราคาก่อนเข้าเทรด เพื่อป้องกันสัญญาณที่เป็น Fake ) นั่นทำให้เราสามารถพิจารณาใช้จุดนี้เป็นจุดเข้าซื้อขายได้
ตัวอย่างด้านล่างนี้ เป็นกรณีที่ขาขึ้นกลับตัวเป็นขาลง
เหมือนก่อนหน้านี้ครับ ก่อนหน้านี้ กราฟเป็นขาขึ้น เราตี C ขาขึ้น แล้วพอราคา Break out ลงไปทะลุเส้น C ขาขึ้น ให้สันนิษฐานว่าเป็นจุดกลับตัวของเทรนในไทม์เฟรมนั้นๆ
รอให้ราคาขึ้นมาชนขอบ C ขาขึ้น (ในวงกลมภาพข้างต้น) ซึ่งจุดนั้นมีเส้น MA ที่ทำหน้าที่เป็นRole reversal และมีขอบของ C ขาขึ้น (ในจุดนี้ อาจจะยังไม่สามารถวาด C ขาลงได้ แนะนำให้รอแท่งเทียนปิดราคาก่อนเข้าเทรด เพื่อป้องกันสัญญาณที่เป็น Fake ) แล้วจึงพิจารณาเข้าซื้อขาย
สรุปง่ายๆดังนี้
- ตี C เพื่อดูเทรน
- รอให้ราคาหลุดจาก C สันนิษฐานว่าเป็นจุดกลับตัวของเทรน
- มองหาเส้น MA ที่ทำหน้าที่เป็น Role reversal
- เมื่อราคากลับมาพักตัว มองหาจุดที่เป็นขอบของ C ที่ซ้อนกับเส้นMAที่เป็น Role reversal เมื่อราคาชนและกลับตัวก็เข้าซื้อขาย
- Cut loss วางไว้ที่ Low หรือ High ล่าสุดก่อนทะลุ C
- วาด C ใหม่ในทิศทางที่เทรนกลับตัว โดยผูกยอด 2 จุดล่าง กับ 1 จุดบน แล้ววาง Take profit ที่ขอบ C ใหม่
กรณีที่ออเดอร์เราติด Take profit ไปแล้ว แต่ราคาเกิดการซ้อนกันของขอบ C และ Role reversal อีกครั้ง ก็สามารถพิจารณาเข้าซื้อขายอีกได้